‘สพฐ.’เข้มมาตรการรับนักเรียนปี68 ปลื้มสัดส่วนทุจริตลด-เหตุโทษจำคุกหนัก
ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า มาตรการการรับนักเรียน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประจำปีการศึกษา 2568 ยังมุ่งเน้นให้เด็กทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา ที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม ผ่านกระบวนการรับนักเรียนที่มีความ โปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ ตามหลักธรรมาภิบาล เช่นเดียวกับมาตรการรับนักเรียนที่ใช้มาต่อเนื่องทุกปี โดยจากการติดตามของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)และหน่วยงานภายนอก พบว่าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และโรงเรียนสามารถนำนโยบายที่ สพฐ. มอบหมายไปใช้ในการดำเนินการรับนักเรียนได้ดี โดยเฉพาะในโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง หรือโรงเรียนยอดนิยม ที่พบว่า มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเรียกรับและปีที่ผ่านมาไม่พบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการรับผลประโยชน์ เพื่อแลกที่นั่งเรียน หรือแป๊ะเจียะ หรือพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตเกิดขึ้น
“หากดูสัดส่วน ในเรื่องของการทุจริตจะพบว่าลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสพฐ.มีมาตรการในการจัดการขั้นเด็ดขาด ที่สำคัญการพิจารณาของศาล ในเรื่องการทุจริตด้านการศึกษามีความเถียรตรงและหากผิดจริงจะต้องโทษจำคุกนานหลายปี นอกจากนี้สพฐ.ยังมีการประชาสัมพันธ์ไปยังผู้บริหารสถานศึกษาต่างๆเพื่อกำชับว่าการกระทำเรื่องใดบ้างที่ส่อไปในทางทุจริต ซึ่งทุกฝ่ายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”เลขาธิการกพฐ. กล่าว ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวต่อว่า สพฐ.มองว่าจากสภาวะเศรษฐกิจ และ การจัดการศึกษาในปัจจุบัน จะทำให้ในปีการศึกษา 2568นี้ จะมีเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสพฐ.ที่มีหน้าที่ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ เท่าเทียมและทั่วถึงเพื่อตอบโจทย์นโยบายแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ หรือ Thailand Zero Dropout ของรัฐบาล “สำหรับอุปกรณ์และสถานที่ในการเรียนเป็นนโยบายสำคัญที่สพฐ.ได้เน้นย้ำกับทุกโรงเรียนว่า ในการรับนักเรียนใหม่จะต้องมีการตรวจสอบอุปกรณ์การเรียน ห้องเรียน สื่อการเรียนการสอน และครูผู้สอนต่อจำนวนนักเรียน ให้พร้อม ก่อนจัดทำแผนการรับ เพื่อให้สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ ขณะเดียวกัน สพฐ.ยังได้ให้ความสำคัญกับการแนะแนวสายการเรียนให้กับนักเรียนใหม่ที่จะเข้ามาเรียนในปี 2568 และเปิดโอกาสให้ทุกหน่วยงานได้เข้ามาแนะแนวทางการศึกษา เพื่อให้เด็กได้เห็นโอกาสและสามารถเลือกเรียนในสิ่งที่ตนเองถนัดได้ เช่น นักเรียนที่กำลังจะจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ถ้ามีความสนใจในสายอาชีพก็สามารถเข้าเรียนกับสถาบันอาชีวะได้” ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าว… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/education/news_4866959 |